Sunday, May 3, 2015
คำต่อคำ ผู้นำโจรกบฏ 1 พฤษภาคม 2558
คำต่อคำ : คืนความสุขให้คนในชาติ 1 พฤษภาคม 2558
สวัสดีครับพี่น้องประชาชนที่รักทุกท่าน ก่อนอื่นในนามของรัฐบาลและประชาชนชาวไทยทุกคน ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อเพื่อนชาวเนปาล และผู้ได้รับการสูญเสียจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา วันที่ 25 เมษายน 2558 เวลาประมาณ 13.11 น. ตามเวลาในประเทศไทย เป็นเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่มีความรุนแรงที่สุดในรอบ 80 ปี ของเนปาล ทำให้เกิดการสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินประเมินค่ามิได้
ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ดำเนินการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติจากแผ่นดินไหว โดยพระราชทานเงินจำนวน 10 ล้านบาท ในการช่วยเหลือดังกล่าวนั้น ในเบื้องต้นทางรัฐบาลก็ได้มอบเงินช่วยเหลือแก่รัฐบาลเนปาลไปแล้ว ภายหลังจากทราบข่าว เราได้ช่วยครั้งแรกเป็นจำนวน 2 แสนดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 6 ล้านบาท ผ่านกระทรวงการต่างประเทศ ตั้งแต่วันที่ 26 หนังสือแสดงความเสียใจก็ทำไปแล้ว และขณะนี้กำลังรวบรวมความช่วยเหลือต่างๆ บางอย่างก็ส่งไปบ้างแล้ว กำลังรวบรวมที่ประชาชนคนไทยได้ร่วมมือกันเสียสละ เพื่อจะช่วยเหลือเนปาลในระยะต่อไป และเป็นสิ่งที่น่ายินดี เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างยิ่ง ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานความช่วยเหลือดังกล่าวให้กับรัฐบาลมอบให้กับรัฐบาลเนปาล
ส่วนเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติงบประมาณจากงบกลาง เป็นเงิน 100 ล้านบาท ไว้ก่อน ก้อนนี้เป็นสำหรับในเรื่องของการขนส่ง การจัดส่งหมอ อะไรต่างๆ ในระยะแรกไป ที่เราไปแล้ว 1 เที่ยว และกำลังจะไปด้วยสายการบินปกติ และจะไปด้วย ซี-130 ด้วย เตรียมของให้พร้อมมากขึ้น อาหารการกิน ที่หลับที่นอน น้ำ อาหารสำเร็จรูป เพราะปัญหามากขณะนี้ ทุกคนระดมกันเต็มที่
สำหรับการช่วยเหลือของเราอาจจะไม่มากนัก แต่ก็เป็นความจริงใจของรัฐบาลไทยและพี่น้องประชาชนคนไทย ที่ร่วมมือกันให้ความช่วยเหลือกับประเทศเนปาล เพราะเราก็คือครอบครัวเดียวกัน บ้านเมืองก็ไม่ได้ห่างไกลกันมากนัก และหลายอย่างก็มีความคล้ายคลึงกันอยู่แล้ว และผมได้มีโอกาสพบกับท่านรัฐมนตรีเนปาลเมื่อการประชุมที่ผ่านมา ที่อินโดนีเซีย ก็ยังคุยกันอยู่เลยว่าเราจะมาร่วมมืออะไรกันให้มากขึ้นมั้ย อะไร ยังไง ก็กะว่าจะมาคุยกัน แต่เกิดเหตุร้ายขึ้นเสียก่อน ก็ไม่เป็นไร ผมได้บอกกับทูตเนปาลไว้แล้วว่า เราในฐานะเป็นอาเซียน ฐานะเป็นประเทศที่อยู่ทางด้านซีกนี้ด้วยกัน เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังนะครับ และเราเป็นพันธมิตรที่ดีกันมาโดยตลอด ในด้านอื่นๆ นั้น ผมจะเพิ่มเติมให้ไปเป็นระยะที่มันต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นผ้าห่ม อาหาร เต็นท์ที่พักอาศัย ยารักษาโรค อุปกรณ์ปฐมพยาบาล น้ำดื่ม อุปกรณ์ทางการแพทย์ พยาบาล ช่างเทคนิค เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัย ทีมพิสูจน์หลักฐาน ข้าราชการพลเรือน ตำรวจ ทหาร และทีมสุนัขค้นหาอีกด้วย จะได้ค้นหาผู้รอดชีวิต หรือพิสูจน์อะไรก็แล้วแต่ ก็เร่งดำเนินการเพราะเราเป็นแกนนำในการบรรเทาภัยพิบัติอยู่แล้ว เราได้มีการฝึกมาอย่างต่อเนื่อง หลายประเทศก็ฝึกกับเรานะครับ
เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2558 ที่ผ่านมา ก็ได้นำทีมแพทย์ของเราไปตั้งโรงพยาบาลสนาม และศูนย์ประสานงานทางด้านการแพทย์ รัฐบาลกำลังเตรียมส่งเจ้าหน้าที่ไปเพิ่มเติมในการพิสูจน์เอกลักษณ์ การช่วยเหลือชาวเนปาลนั้น ส่วนหนึ่งและคนไทยที่อยู่ในเนปาลอีกส่วนหนึ่ง ตั้งแต่วันแรกจะตั้งศูนย์ประสานงานให้ความช่วยเหลือ สถานทูตไทยประจำกรุงกาฐมาณฑุในศูนย์นี้ช่วยเหลือคนไทยในเนปาล บูรณาการให้ที่พักอะไรต่างๆ ก็แล้วแต่ เพื่อจะบูรณาการให้ได้ ในขณะนี้ทำหน้าที่อย่างดีที่สุด จนกระทั่งสามารถเอาคนไทยกลับมาได้ส่วนหนึ่งแล้ว เหลือบางส่วนที่จะทยอยออกมา อันนี้เป็นสิ่งที่กระทรวงการต่างประเทศได้เตรียมการไว้พร้อม ขอชื่นชมด้วยกับกระทรวงอื่นๆ พอสั่งไปอนุมัติใน ครม.ทุกอย่างก็เดินหน้าได้เลย ผมก็ไม่อยู่ด้วยซ้ำไป ผมไปประชุมที่ต่างประเทศ ในวันนั้นโทรศัพท์คุยกันกับท่านรองนายกฯ หรือคุยกับรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ ทุกคนพร้อมหมด ผมก็อนุมัติในหลักการ จนสามารถดำเนินการได้โดยทันที
การบริจาคมี 2 ส่วน ส่วนหนึ่งเราให้ไปแล้วใช่ไหมครับ เพราะฉะนั้นถ้าจะเพิ่มเติมขณะนี้มีของกระทรวงมหาดไทย ศูนย์ดำรงธรรมทั่วประเทศทุกจังหวัด หน่วยทหารต่างๆ ก็ได้นะครับ ระบุให้ชัดเจน ลงนามหลักฐานให้ชัดเจน จะได้ไม่รั่วไหล อันที่ 2 คือบริจาคได้ที่ธนาคารกรุงไทยทั่วประเทศ บัญชีหัวใจไทยส่งไปเนปาล รัฐบาลได้เปิดบัญชีไว้แล้วกับธนาคารกรุงไทย สาขาทำเนียบรัฐบาล หมายเลขบัญชี 067-0-10330-6
ทั้งนี้ ผู้บริจาคสามารถนำหนังสือการรับเงินบริจาคที่ออกให้ หรือใบโอนเงินสลิปของธนาคารที่บริจาคมาเป็นหลักฐาน ในการลดหย่อนภาษีเงินได้ ในบัญชีนี้เท่านั้นที่จะลดให้ของรัฐบาลช่องทางนี้
นอกจากนั้น ทางเอกชน เช่น เซเว่นอีเลฟเว่นทุกสาขา ให้ความร่วมมือรับบริจาคเงิน เพื่อส่งต่อไปทางรัฐบาล ล่าสุด ทราบว่ามียอดเงินบริจาคทั้ง 2 ช่องทาง วันที่ 18 เมษาฯ จำนวน 55,950,000 บาท ที่เหลือจะมีอีกมากมาย ยังไม่สามารถรวม อันนี้เฉพาะเท่าที่มีตัวเงิน ผมขอขอบคุณทุกภาคส่วน ทั้งรัฐ - เอกชน ที่ร่วมแสดงน้ำใจ คนไทยเราไม่เคยแพ้ชาติใดในโลก วันนี้เพื่อนเราลำบากมา เราต้องดูแลเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุข เป็นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่จริงใจต่อกันอย่างแท้จริงนะครับ
สำหรับในเรื่องของการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศในการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งแรกในปีนี้ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีมาเลเซียเป็นประธานการประชุม เป็นการประสานความร่วมมือกับประชาคมโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างความร่วมมือของอาเซียนในด้านเศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคง ให้เกิดขึ้นให้ได้อย่างรวดเร็ว เพราะว่านับวันภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะมีความสำคัญมากขึ้นบนเวทีโลก เสียงเราจะดังขึ้น ถ้าเรารวมกันได้ มันจะเสียงดังเพราะคนเยอะ ประมาณการค้าการลงทุนจะเยอะมาก เศรษฐกิจจะดีขึ้น วันนี้เราต้องเร่งทั้งการค้า การท่องเที่ยว การลงทุน
ขณะนี้สถานการณ์เศรษฐกิจโลกโดยรวมยังไม่แข็งแกร่งเท่าที่ควร เศรษฐกิจประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐฯ สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น ยังอ่อนแออยู่พอสมควร ถึงแม้จะดีขึ้นก็อย่างช้าๆ เราต้องหันหน้ากระชับและสร้างความสำคัญให้กับการค้าระหว่างประเทศให้มากขึ้น โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้าน มิตรประเทศใกล้ก่อน ต่างประเทศไกลๆ ก็คงทำต่อ จากตลาดบนที่มันอาจเกิดความต้องการเขาแล้ว เราต้องมาเจาะตลาดล่างหรือประเทศอื่นๆ ประเทศเล็กๆ อะไรต่างๆ ก็ต้องเจาะหมดเลย ความร่วมมือต่างๆ มีหมดทุกภูมิภาค ให้ทุกกระทรวงเดินหน้าไปแล้ว กระทรวงการต่างประเทศก็วันนี้ก็ต้องไปเป็นเชิงรุก ต้องรู้ทุกเรื่องเหมือนกัน ไปบอกเขาว่าเรามีอะไร เขามีอะไร จะเชื่อมกันตรงไหนได้ ถ้าเรารวมกันได้ในอาเซียน 625 ล้านนะครับ วันนี้ประเทศไทยส่งออกไปขายประเทศสมาชิกอาเซียน 9 ประเทศ ในสัดส่วนร้อยละ 26 นะ ถือว่าเยอะนะ 26 ใน 9 ประเทศ เพราะฉะนั้นมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของเราถ้าเราสามารถเพิ่มสัดส่วนการส่งออกระหว่างกันได้มากขึ้น ให้เขาด้วย ไม่งั้นมันเกิดการขาดดุลการค้าระหว่างกันมากมันก็ทำให้ประเทศที่จะต้องพัฒนามากต้องถอยหลังอีก
วันนี้เราบอกกติกาแล้วว่าเราต้องเดินไปพร้อมๆ กัน สนับสนุนเพื่อนให้แข็งแกร่งด้วยกัน ถ้าเราแข็งแกร่ง ทุกประเทศในอาเซียนเรา จะทำให้อาเซียนเข้มแข็งไปด้วย เราจะได้มีเสียงดัง เพราะฉะนั้นในสัปดาห์นี้ วันที่ 26 และ 28 เมษายนนี้ ผมได้ประชุมสุดยอดอาเซียนที่ประเทศมาเลเซีย เป็นการแสดงของคณะมีเป้าหมายเพื่อเชิดชูความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในทุกมิติ ภายใต้หัวข้อ ประชาชนของเรา ประชาคมของเรา วิสัยทัศน์ของเรา (คือของอาเซียน) หารือหลายเรื่อง เช่น การทบทวนพัฒนาการการสร้างประชาคมอาเซียน เร่งรัดการจัดตั้งให้ได้โดยเร็ว ภายในปี 58 นี้ และจัดทำวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน หลังจากปี 58 ต่อไป เท่าที่เราเดินก็ 20 ปีแล้ว ก็ต้องวาง 10 ปี 20 ปีต่อไป หลังปี 58 และเรื่องการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่กลไกอาเซียน คณะทำงานต่างๆ ทุกระดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้นำต่อผู้นำ ผมได้มีการพบปะพูดคุยกับหลายท่าน ทุกประเทศก็พร้อมจะร่วมมือกับไทยทุกประเทศ ยืนยัน
ในเรื่องของการสร้างความใกล้ชิดระหว่างอาเซียนกับประชาชน อันนี้ก็มีความสำคัญ ให้ประชาชนได้รู้ว่าประโยชน์ของการรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียน หรือการก้าวเข้าสู่การเป็นเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) เป็นอย่างไร เขาจะใช้ประโยชน์ได้อย่างไร ต้องให้เขารู้ เข้าใจ ทั้งธุรกิจขนาดเล็ก ขนาดกลาง ขนาดใหญ่ การค้า การลงทุน ความเป็นอยู่อะไรต่างๆ เขาจะดีขึ้นมาด้วยตรงนี้ ตัวเองก็ต้องพัฒนา รัฐก็ต้องอำนวยความสะดวก ในระยะแรก รัฐก็ต้องมากหน่อย วันหน้าเอกชนก็ร่วมมากๆ เข้า ทุกคนก็จะเร็วขึ้น
การประชุมครั้งนี้ได้พบปะ อย่างที่เรียนไปแล้ว ทั้งผู้นำประเทศสมาชิกทุกประเทศ ผู้แทนสมัชชารัฐสภาอาเซียน สภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน ผู้แทนภาคประชาสังคม และผู้แทนเยาวชนอาเซียน ได้มีการแลกเปลี่ยนแนวคิด มุมมองหลายเรื่อง ผมได้พูดถึงการสร้างประชาคมอาเซียนให้เข้มแข็งได้โดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ประชาชนเป็นศูนย์กลางก็คือ ให้ประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด รัฐก็ต้องอำนวยความสะดวก หาวิถีทางต่างๆ ทำให้ได้ บางอย่างเราก็จำเป็นต้องให้เอกชนมีส่วนร่วมให้มากที่สุด วันนี้เราก็ต้องแก้ไขเรื่องกฎกติกาที่ยังไม่ทันสมัย ไม่เป็นธรรม รวมความไปถึงเรื่องการให้ประชาคมอาเซียนทุกภาคส่วน รวมถึงผู้มีรายได้น้อยด้วย ผู้ด้อยโอกาส ผมได้เสนอไปในที่ประชุมด้วย เราต้องดูแลคนเหล่านี้ด้วย ให้ได้รับประโยชน์ อย่ามองเรื่องการค้าขายกลางหรือใหญ่อย่างเดียว เพราะมันอยู่ได้ด้วยประชาชนข้างล่าง ประเทศเราเป็นประเทศที่รายได้ไม่มากนัก กลุ่มอาเซียนด้วยกัน
การเป็นประชาคมอาเซียนนั้น เราได้หารือกันถึงแนวทางต่างๆ กับผู้แทนภาคธุรกิจด้วย แนวทางจะทำอย่างไรให้เรามีบทบาทสำคัญในเวทีโลกมากขึ้น รัฐบาลก็จะสนับสนุนให้ภาคประชาชนใช้ประโยชน์จากประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนอย่างเต็มที่ รัฐบาลไทยก็พร้อมจะอำนวยความสะดวก การค้าการลงทุน ดำเนินการไปหลายเรื่องแล้ว การเปิดเขตเศรษฐกิจพิเศษบริเวณชายแดน การปรับปรุงด่านศุลกากรต่างๆ ลดขั้นตอนพิธีการศุลกากร พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ก็เป็นระยะที่เราทำต่อเนื่องมา วันนี้ก็ต้องเร่งให้เร็ว เพราะสิ้นปีนี้ก็ต้องเริ่มแล้ว เรามีความพร้อมสัก 70 - 80 เปอร์เซ็นต์ แล้ว ตั้งแต่เราเข้ามา ก็เร่งเต็มที่เลย วันนี้ก็ต้องเพิ่มขีดความสามารถให้เร็วขึ้น เพื่อให้ทันกับการแข่งขัน จริงๆ แล้วผมไม่อยากใช้คำว่าแข่งขันอย่างเดียวนะ น่าจะเป็น Partnership คือเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ร่วมกันดีกว่า ในอาเซียน ถ้าเราเอาประโยชน์มากๆ เขาก็อาจจะไม่ร่วมมือมากนัก ก็แข่งกันไป ราคาสินค้ามันก็ถูกลงไป ตัดราคากันเองไม่ได้ ผมคุยกับทุกประเทศไปแล้ว ก็เห็นด้วยกัน ว่าประเทศไหนถนัดทางไหน อะไรทางไหน ถ้ามันเหมือนกันก็จะปรับสัดส่วนกันได้มั้ย อย่าไปลดราคากันเลย อะไรที่จะร่วมทุนกันได้ก็ร่วมกันไป แบ่งปันผลประโยชน์
อีกอันหนึ่งก็คือว่า ผมเสนอว่าเราควรจะต้องพัฒนาตราสินค้าอาเซียน (ASEAN Brand) สำคัญนะครับ มันจะได้เป็นหน้าเป็นตา และทำให้เราถูกมองเห็นในสังคมโลก ที่ผ่านมาเขาหาว่าเราไม่พัฒนา ไม่เข้มแข็ง เทคโนโลยีไม่พอ อะไรต่างๆ ถ้าเราทำมาตรฐานนี้ได้ ในเรื่องของอาหารเป็นหลักเสียก่อน เราจะได้รับการยอมรับมากขึ้น วันนี้หลายอย่างเราจะส่งไปต่างประเทศก็มีปัญหาอีก นี่ผมกำลังเร่งรัดสมาคมต่างๆ ผู้ตรวจ ผู้รับรองต่างๆ ในเรื่องของการรับรองมาตรฐาน ต้องเร่งรัด วันนี้หลายประเทศสนใจผลไม้ ปรากฏว่าใบรับรองมาตรฐานยังไม่เรียบร้อย ผมขอเขาแทบตาย เร่งนะครับ ผมบอกทางโทรทัศน์นี่ล่ะ ทำให้เร็วนะครับ ผลไม้ หรือผลิตผลทางการเกษตรต่างๆ อะไรก็แล้วแต่ ที่เราขายเพิ่มได้ ทดแทนข้าวบ้าง ทดแทนยางบ้าง เขาพร้อมซื้อเรา แต่มาตรฐานเรารับรองยังไม่ได้ รีบไปทำนะ เร็วๆ ด้วย เพราะฉะนั้นเราต้องส่งเสริมให้ได้ ให้อาชีพเกษตรกรรมเป็นอาชีพหลักของเรา ส่วนหนึ่ง คงไม่ใช่ทั้งหมด ทั้งประเทศไม่ได้ แต่เราจะต้องสร้างทายาท หรือสร้างเยาวชนรุ่นใหม่ ที่เรียกว่า Smart Farmer ส่งเสริม สร้างนักธุรกิจรุ่นใหม่ด้วย ที่มีส่วนร่วมในการบริหารกิจการต่างๆ ของครอบครัว คนรุ่นต่อไป เพราะฉะนั้นผมคิดว่าต้องเจอกันตั้งแต่วันนี้ การพบปะของประชาชนคงไม่ใช่เฉพาะมาคุยกันทั่วไป ไม่ใช่ อาจจะจัดเป็นกลุ่มก็ได้ เป็นอาชีพก็ได้ หรือให้มันเป็นภาคก็ได้ ภาคธุรกิจ ภาคเกษตร เพื่อจะรู้จักในวันนี้ เถ้าแก่วันนี้ก็คือพ่อแม่ วันหน้าก็คือลูกหลาน โตมาก็ต้องเป็นเถ้าแก่ตามกันนั่นล่ะ เรียกว่าสร้างเถ้าแก่ใหม่ตั้งแต่วันนี้ แล้ววันหน้าจะได้รู้จักกัน จะได้ไม่แข่งขันกตัดราคากัน ถือว่าเป็นสมาชิกร่วมกัน ในครอบครัวเดียวกัน เพราะฉะนั้นจะทำให้เศรษฐกิจของภูมิภาคนี้เติบโตได้อย่างยั่งยืน
ในส่วนของการเจริญเติบโตไปด้วยกันนั้น ผมได้หารือทวิภาคีกับผู้นำหลายประเทศ เช่น ผู้บริหารสูงสุดเขตปกครองพิเศษฮ่องกง นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย นายกรัฐมนตรีเวียดนาม ก็มีความเห็นตรงกันว่าเราจะต้องผลักดันความร่วมมือระหว่างกันให้เป็นรูปธรรมให้มากขึ้น ผมได้เรียนกับผู้นำว่า ผมจะสั่งของผม ท่านก็ไปสั่งของท่าน รัฐบาลก็ต้องไปอำนวยความสะดวก เอกชนก็ไปเดินหน้า ตกลงกันอย่างนี้ ของเราผมเร่งให้ทุกวัน บางอันเรายังไม่ค่อยพร้อมเท่าไร แต่ผมเร่งให้พร้อมด้วย เราต้องพร้อมด้วย และต่างชาติเขาต้องพร้อมด้วย มันจะได้เจอกันได้ และขายให้ได้กันซักทีพูดกันมานานแล้ว
ด้านการค้า การท่องเที่ยว การลงทุน การร่วมมือแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ได้เชิญชวนมา ต่างคนต่างชวนนะครับ มาร่วมลงทุนในแต่ละประเทศ โครงการพัฒนาต่างๆ เราไปเขา เขามาเรา คงสร้างพื้นฐานของประเทศ เราต้องบูรณาการการเชื่อมโยง โดยเฉพาะเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน ก่อนกลับมาเมืองไทยนั้น ผมได้ร่วมการประชุมระดับผู้นำนะครับ กรอบความร่วมมือการพัฒนาเขตเศรษฐกิจ 3 ฝ่าย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย IMT - GT ครั้งที่ 9 ได้พูดคุยกันถึงความคืบหน้าในการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการ 5 ปี 55 - 58 เช่น ในเรื่องของการเชื่อมโยงโครงข่ายขนส่งระหว่าง 3 ประเทศ ทางบก ทางทะเล ทางอากาศ เพื่ออำนวยความสะดวกในด้านการค้าระหว่างกัน
2. คือ การพัฒนาพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ 3 ประเทศ ยางพารา ปาล์มน้ำมัน หรืออื่นๆ ด้วย และประสานความร่วมมือในเรื่องของการสร้างตลาดยางพาราร่วมกัน พัฒนาคุณภาพปาล์มน้ำมันให้ทัดเทียม และมีเรื่องรับเบอร์ซิตีด้วย ของเราก็สงขลา ของเขาก็ในฝั่งตรงข้ามเรานั่นแหละ
เพราะฉะนั้นความร่วมมือในด้านการตรวจรับรอง กำหนดมาตรฐานสินค้าฮาลาล อันนี้สำคัญสินค้าฮาลาลเรามีขีดความสามารถสูง แต่เราก็ไปร่วมมือกับประเทศที่เขามีเศรษฐกิจด้านนี้ที่เขาเข้มแข็งกว่าเรา ในลักษณะเป็นพันธมิตรแล้วกัน จะได้นำพาให้เศรษฐกิจประเทศไทยดีด้วย ทั้งคนไทย ทุกสิ่งก็ดีไปด้วยกันทั้งหมด
เพราะฉะนั้นการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับประชาคมโลก เราให้ความสำคัญอย่างยิ่ง ตั้งแต่เราเข้ามา เราตระหนักดีว่า เราไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แต่เราพยายามแสดงจุดยืนให้สังคมโลกเขาเห็นว่า เราจะใช้สติปัญญาของเราในขณะนี้เข้ามาบริหารประเทศด้วยความจำเป็น และสร้างความสงบเรียบร้อย สร้างความมีเสถียรภาพให้ได้เสียก่อน จากนั้นเราจะเอาแนวทางการปฏิบัติงานที่เคยปฏิบัติกันมาแล้วมาปรับปรุง มาประยุกต์ มาปฏิรูปมาทำใหม่ บูรณาการประสานงาน มันจะได้เร็วขึ้นเป็นรูปธรรมเสียที เราตั้งใจทำนะครับ ถึงแม้ว่าจะยังไม่ครบจบหมด แต่ผมถือว่า ผมได้เริ่มทุกอย่างให้แล้ว บางอย่างก็เร็ว บางอย่างก็ช้า บางอย่างก็อยู่ระหว่างตัดสินใจกันอยู่ ที่เข้ามานี่ก็ปัญหาเยอะ เศรษฐกิจไม่ค่อยดีนัก โลกก็แย่ ในไทยก็แย่ และรายได้เราก็ตกลง ตกลง 2 อย่างหลักๆ ก็คือ เรื่องสินค้าการเกษตร ส่งไป ราคามันตก สองก็คือ น้ำมันลด ลดแล้วภาษีน้ำมันเราก็ได้น้อยลงไง คือที่หนักที่สุดก็คือน้ำมัน เพราะน้ำมันเรานำเข้า ส่งออก มันเยอะทั้งคู่ คำว่าส่งออกคือน้ำมันที่เราไม่ได้ใช้ประโยชน์ ซึ่งใช้ได้น้อย ที่เรากลั่น มันแยกไปหลายส่วนด้วยกัน อันไหนไม่ใช้ก็ส่งออก ที่ต้องใช้ในประเทศ ใช้หมด แล้วต้องซื้อมาเพิ่มอีก ฉะนั้นทั้งซื้อทั้งขาย มันเก็บภาษีไม่ได้ทั้งคู่ เพราะว่าราคามันลดลง ต้องเข้าใจตรงนี้ด้วย
ในเรื่องการแก้ปัญหาเศรษฐกิจแล้ว ก็ยังมีเรื่องความมั่นคง การจัดระเบียบ ป่าไม้ อะไรต่างๆ มาตรฐานการบิน การค้ามนุษย์ การประมงผิดกฎหมาย การร่างรัฐธรรมนูญด้วย ทุกอย่างมันตีกันหมดตอนนี้ เพราะมันรื้อทั้งหมดไง ก็อย่าเอามาเป็นอารมณ์กันมากนักก็แล้วกัน สิ่งสำคัญวันนี้ผมอยากให้มองดูด้านเศรษฐกิจก่อนเป็นหลักนะ กับความมั่นคง อันนี้ต้องแก้ให้ได้ วันนี้ก็ได้มาเยอะพอสมควร แต่เศรษฐกิจ แน่นอนมันไม่เร็วนักหรอกครับ เพราะมันขึ้นอยู่กับในประเทศ ต่างประเทศด้วย ภูมิภาคเราก็ด้วย ถ้าเข้มแข็งทั้งหมดมันแก้ได้หมดนะ ราคาน้ำมันก็สำคัญ ถ้าแพงไป สินค้าก็แพงขึ้น แต่มันก็เก็บเงินได้เยอะขึ้นนะ แต่ถ้ามันลดลง ประชาชนก็พอใจ แต่เศรษฐกิจมันตกลง ทำยังไง ก็กำลังหาทางอยู่ ไม่เคยหนีปัญหานะ รับฟังทุกที่ แล้วก็จัดการแก้ไข เร่งดำเนินการ ผมคิดว่าวิธีการแก้ปัญหาของเรานั้น มันคงไม่แตกต่างกับคนอื่นมากนักหรอกนะ เพียงแต่ว่าเราจะต้องทำให้มันเร็วขึ้น เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น สร้างโครงสร้างต่างๆ ให้มันแข็งแรง พัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ ให้มันดีขึ้น ทันสมัยมากขึ้น สื่อสารอย่างต่อเนื่อง ลดความระแวง สงสัย การหวาดระแวงระหว่างกันของแต่ละประเทศให้มากที่สุด วันนี้ต่างไว้วางใจซึ่งกันและกัน และลดความหวาดระแวงของประชาชนของเรา กับรัฐบาลเราด้วย ขอให้มั่นใจว่าเราจะดำเนินการทุกอย่างด้วยความจริงใจ โปร่งใส และเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำ
ในเรื่องของการรับวัฒนธรรมอันดีของไทยนั้น ยินดี ดีใจ พี่น้องให้ความสำคัญ ประเพณีวัฒนธรรมไทยมากขึ้น ก็ไม่อยากให้เป็นกระแส ต้องการเห็นการรักความเป็นไทยสืบเนื่องต่อไปอีกนานเท่านั้น และมีความภาคภูมิใจในเอกลักษณ์เฉพาะของชาติเหล่านั้น อาจจะมีการประยุกต์บ้างอะไรบ้าง แต่ก็ไทยแท้ ต้องอย่าทิ้ง พื้นฐานของเรา ไม่ใช่เปลี่ยนไปจนหมดเลย มันไม่ใช่อ่ะ มองยังไงมันก็ไม่ใช่ไทย มันไปคล้ายๆ ผสมผเสยังไงพิกล ระมัดระวังหน่อยแล้วกัน หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ช่วยๆ ทบทวนกันนิดหนึ่งว่าอะไรที่มันประยุกต์ไปมากๆ มันก็ไม่ใช่นะ เดี๋ยวมันจะไปเหมือนๆ กับคนโน้นคนนี้ มันก็จะทำให้การท่องเที่ยว ความประทับใจ ความน่าสนใจของเรา มันหายไป ก็อยากให้ซึมซับ โดยเฉพาะเด็กๆ เยาวชน ให้เขาภูมิใจในความเป็นคนไทย อย่าไปเลียนแบบมากนัก ตามโซเชียลมีเดีย ตามการสื่อสารทันสมัย เทคโนโลยีที่เราควบคุมไม่ได้ เขาพร้อมที่จะทำให้เราดีก็ได้ ไม่ดีก็ได้ เราต้องสร้างภูมิคุ้มกันให้กับคนของเรา ว่าจะใช้ยังไงให้เกิดประโยชน์ยังไง ไม่ให้เกิดผลเสียกับตัวเอง กับครอบครัว กับประเทศชาติอย่างไร ถ้าเราทำอย่างนี้ได้ทั้งหมดนะ จะทำให้การบริโภค การมาพักผ่อนท่องเที่ยวในประเทศเรา มากขึ้น มันก็จะช่วยให้มีธุรกิจที่มันต่อเนื่องกันมากขึ้น การค้า การบริการ ที่พักแรม อาหารการกิน ก็ดีหมด ต้องช่วยกันนะครับ เป็นเจ้าบ้านที่ดีด้วย จะทำให้ทุกคนมีรายได้ในชุมชนต่างๆ และเผยแพร่สิ่งดีๆ ของเราไปทั่วโลกด้วย
ที่ผ่านมานั้น ผมคงไม่กล่าวว่าเป็นผลงานของรัฐบาลฝ่ายเดียว ทุกคนมีส่วนร่วม รัฐบาล ข้าราชการ ทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่น และประชาชน ทุกภาคส่วน ช่วยเรามาตลอดระยะเวลาของรัฐบาล 6 เดือนกว่าๆ แล้วก็รวมกับ คสช.มาเกือบปีแล้ว ทุกคนก็ช่วยกันเต็มที่ หยุด เลือดไม่ไหลอีก แล้วก็เติมน้ำเกลือ เติมอะไรกันอยู่ มันก็เริ่มแข็งแรงขึ้นมาเรื่อยๆ แต่จะให้ทันใจไปวิ่งเลยทันที มันไม่ได้ เพราะมันนอนซมมานานแล้ว เพราะฉะนั้นช่วยกันบอกต่อเรื่องดีๆ นะครับ ฟังบ้างว่ามีอะไรพัฒนาไปบ้าง อะไรที่เหมาะสม ถูกต้อง ท่านก็สนับสนุนเรา อะไรที่คิดว่ามันยังไม่ครบถ้วน ท่านก็เสนอมา บางอย่างมันต้องฟังเหตุฟังผลกัน ผมก็ไม่สามารถจะอธิบายทีละคนๆ ได้ ถ้าถามมาที่สำนักงานปลัดฯ ก็ถามมา มีปัญหาอะไรก็แจ้งมา ที่ศูนย์ดำรงธรรมก็เหมือนกัน ส่วนราชการทุกส่วนพร้อมตอบคำถามท่าน ไม่ได้ก็มาถามผมนี่ ตรงถึงผม วันนี้ก็รายงานทุกอาทิตย์ ทุกสัปดาห์
อีกอันหนึ่งโครงการดีๆ สัปดาห์นี้ ก็คือโครงการ ณ สยาม กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดขึ้นให้เด็กๆ เยาวชน ได้มีพื้นที่แสดงความคิดสร้างสรรค์ แสดงความรู้ความสามารถ ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไม่ว่าจะเล่นดนตรี ศิลปะ วัฒนธรรม ได้มีการเชิญศิลปินแห่งชาติมาบรรยายให้ความรู้แก่นักเรียน นักศึกษา และประชาชนที่สนใจ มีการจัดโครงการขึ้นที่ศูนย์การค้าสยามแสควร์ ในทุกวันอาทิตย์ ที่ 1 และที่ 3 ของเดือน และจะมีไปจนถึงเดือนมิถุนายน ลองไปหาข้อมูลเพิ่มเติมในสื่อออนไลน์ แล้วก็พาลูกหลานของท่านไปร่วมกิจกรรมสร้างสรรค์กันเยอะๆ
ลำดับต่อไป ก่อนที่ผมจะได้เชิญ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ มาพูดคุยกันทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนนั้น ผมก็อยากจะให้ทุกคนร่วมแสดงความยินดีให้กับน้องรัชนก หรือน้องเมย์ ที่เป็นแชมป์แบดมินตันเอเชีย อันนี้ต้องให้กำลังใจ ผมก็บอก พูดคุยกับทั้งผู้สนับสนุนและรัฐมนตรีด้วย ว่า เรามักจะ พอเด็กเราได้รางวัล ได้อะไรขึ้นมา ทุกคนก็คาดหวัง ทุกคนก็กดดัน จนเด็กเขาเรียกอะไร ทีมชาติมันเยอะๆ มันทำให้การเล่นกีฬาก็ดร็อปลง เพราะฉะนั้นต้องให้กำลังใจเขา เล่นให้เต็มที่อย่ากังวล ชนะก็ได้ แพ้ก็ไม่เป็นไร ซ้อมใหม่ ถ้าไปกดดันมากๆ คนไม่อยากเข้ามา เข้ามาถูกกดดัน หลายอย่างที่เราเสียหายไปบ้างแล้วเหมือนกัน กีฬาอื่นๆ ก็มี พอชนะโอ๋กันไปโอ๋กันมา พอแพ้ทิ้งเลย อย่างนี้ไม่ได้ แต่แก้เขาด้วยทักษะการกีฬาไหม ต้องเอาโค้ชมาเพิ่มเติมไหม นี่ต้องทำให้หมด วันนี้ต้องมีนักกีฬา 2 ประเภท ประเภทหนึ่งคือ สมาคมไปคัดมา
อันที่ 2 ช้างเผือกไปส่งเขามาจากต่างจังหวัด มาแล้วแข่งข้างในกันอีกที มันถึงจะได้นักกีฬาตัวจริง ตัวสำรอง ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวกลายเป็นเอาแต่พวกๆ อีก ผมสั่งรัฐมนตรีการท่องเที่ยวและกีฬาไปแล้วนะครับ ในต่อไปนี้คงเป็นเรื่องของกระทรวงการต่างประเทศ เดี๋ยวท่านรองคงมีอะไรเล่าให้ฟังเยอะแยะไป ท่านก็ทำหลายอย่าง ทุกรองนายกฯ ท่านทำทุกฝ่าย 5 ฝ่ายด้วยกัน ช่วยผมมาทุกคนทุกท่าน ไปดูการขับเคลื่อนในรัฐมนตรีทุกกระทรวง และข้าราชการทุกกระทรวง แน่นอนมันยังไม่ 100% แน่นอนมันมีปัญหา แน่นอนต้องมีคนไม่เห็นด้วย แต่ให้ท่านดูความตั้งใจของผมแล้วกัน ตั้งใจของรัฐบาลเราว่า ตั้งใจแค่ไหน แล้วเราพูดมันเกี่ยวข้องกับคนใดบ้าง
เพราะฉะนั้นเกี่ยวข้องกับคนทุกคน ไม่ว่าจะยากดีมีจน ไม่ว่าจะรวยมากรวยน้อย มีส่วนร่วมทั้งสิ้นในตรงนี้ ที่จะขับเคลื่อนประเทศชาตินะครับ รวมไปถึงเอกชนที่อยู่ต่างประเทศ คนไทยต่างประเทศด้วย ผมไปต่างประเทศชื่นใจ ทุกคนมาทักทาย ทุกคนมาให้กำลังใจผมหมด ฝากประเทศไทยไว้กับผม ผมน้ำตาจะไหลเหมือนกันนะบางที กดดันผมเหมือนกัน แต่ไม่เป็นไร ผมจะทำให้ทุกคน ขอให้รักกันนะครับ ขอบคุณครับ สวัสดีครับ
พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร
สวัสดีครับ พี่น้องประชาชนที่เคารพรักทุกท่าน รัฐบาลโดยฝ่ายต่างประเทศ และกิจการอื่นๆ โดยมีผมเป็นรัฐมนตรีว่าการ นะครับ และมีท่านรัฐมนตรีช่วยฯ ดอน ทำหน้าที่เป็นรัฐมนตรีช่วย และอีกตำแหน่งหนึ่งของท่านเป็นประธานอนุกรรมการด้านกฎหมายและประชาสัมพันธ์ในเรื่องการต่อต้านการค้ามนุษย์ และประมงผิดกฎหมาย สำหรับด้านการท่องเที่ยวและกีฬา ท่านรัฐมนตรีกอบกาญจน์ ท่านเป็นรัฐมนตรีว่าการนะครับ สำหรับด้านวัฒนธรรม มีท่านรัฐมนตรีวีระ เป็นรัฐมนตรีว่าการ
สำหรับในงานของกระทรวงต่างประเทศ แนวทางในการดำเนินงานของกระทรวงฯ เรายึดนโยบายรัฐบาล โดยถือหลักว่า การดำเนินการของเราจะต้องเป็นไปอย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรีของประเทศไทย และประชาชนไทย เหตุผลของความสำเร็จ เรามาจาก 3 เหตุผล เหตุผลแรกคือ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ท่านให้นโยบายที่ชัดเจน และท่านให้การสนับสนุน รวมทั้งตัวท่านเองไปช่วยเราในการพบปะหารือ และร่วมแสดงกิจกรรมต่างๆ ในเวทีนานาชาติ ซึ่งเป็นที่ยอมรับ และสำหรับผมถือว่า ท่านโดดเด่น
สำหรับเรื่องที่ 2 ความเป็นหนึ่งเดียวของกระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งภาคส่วน หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เราทำงานเป็นทีมเดียวกัน ถือว่าทำงานให้ประเทศไทย
อันที่ 3 คือความมุ่งมั่น ความทุ่มเทของเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศ ทำงานอย่างไม่เห็นกับเหน็ดเหนื่อย ไม่คำนึงถึงวันหยุด และเวลา เพราะฉะนั้นทุกคนทำงานอย่างต่อเนื่อง
สำหรับที่สำคัญในความคิดผม และงานของกระทรวงการต่างประเทศสำเร็จ อันนี้ได้มาจากพี่น้องประชาชน และผู้เกี่ยวข้องทุกท่าน ร่วมปฏิบัติจนทำให้เราสามารถทำงานได้ง่าย และมีประสิทธิภาพ
สำหรับงานในหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศ จริงๆ เราเกี่ยวพันกับทุกกระทรวง เราเป็นด่านหน้าจะต้องไปพบปะคุยแลกเปลี่ยน และสร้างความเข้าใจ ในจุดนี้ถ้าจะเรียนเพื่อทราบจริงๆ อาจจะใช้เวลามากนะครับ ซึ่งกระผมอาจจะขอสรุปสั้นๆ ในประเด็นที่น่าจะคิดว่า ทุกท่านน่าจะสนใจในขณะนี้
ประเด็นแรกเรื่อง การดำเนินการด้านการทูตเพื่อประชาชน การช่วยเหลือประชาชนในต่างแดนถือว่าเป็นความเร่งด่วนลำดับหนึ่ง ไม่ว่าคนไทยจะตกทุกข์ได้ยากอยู่ที่ไหน เราถือว่าทุกท่านเป็นคนไทย เราต้องช่วยเหลือให้ดีที่สุด ฉะนั้นเพื่อให้งานเราสะดวก ถ้าใครมีเบาะแสแจ้งมาที่เรา เรายินดีที่จะทำเลย ในที่ผ่านมายกตัวอย่างเช่น ลูกเรือประมงถูกจับที่อินโดเซีย โดนจับไปแล้วเกือบ 5 ปีนะครับ 5 คน สุดท้ายที่มีอยู่เราเอากลับมาได้อย่างเรียบร้อยปลอดภัย และรัฐบาลยังตามช่วยเหลือหาอาชีพจนกว่าเขาจะช่วยตัวเองได้ ลูกเรือที่ ต.เบนจินา ขณะนี้ปัจจุบันเราเอากลับมาได้ 200 กว่าคน และข่าวดีที่มีความคืบหน้ามากขึ้น เรามีความร่วมมือที่ดีกับอินโดนีเซีย
เพราะฉะนั้นคนที่เหลือเราจะดำเนินการเอากลับมา รวมทั้งเรือที่ยังอยู่ที่นั่นด้วย แต่ตรงนี้เราจะขออนุญาตดำเนินการในลักษณะที่ไม่ประชาสัมพันธ์นะครับ
สำหรับเรื่องการอพยพคนไทยในพื้นที่สู้รบในลิเบีย ในเยเมน เราดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพรวดเร็ว และอยากเรียนด้วยว่า เราร่วมมือกับเพื่อนเราในอาเซียน ของใครอยู่ตรงไหนช่วยกันเอากลับมา และมีการติดต่อกันถือว่าเป็นปึกแผ่น เราก็เอากลับมาได้ ทุกคน เว้นท่านที่ยังสมัครใจไม่ยอมกลับ เราก็พยายามชักชวนให้กลับ ในขณะนี้มีการติดต่อและพร้อมที่จะอพยพ ถ้าเกิดเหตุการณ์ที่มันเลวร้ายไปกว่านี้
สำหรับเรื่องการช่วยเหลือภัยพิบัติแผ่นดินไหว ในขั้นต้นเราได้สนับสนุนงบประมาณ เพื่อแก้ปัญหาไปจำนวน 6 ล้านบาท ในนามของรัฐบาล และเราได้ส่งชุดกู้ภัย ชุดแพทย์สนาม สิ่งอุปกรณ์ที่จำเป็นผ้า เต็นท์ อาหาร ยารักษาโรค และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง สถานทูตที่กาฐมาณฑุได้เริ่มปฏิบัติการตั้งแต่ต้นนะครับ โดยมีศูนย์ควบคุมบัญชาการอยู่ที่กรุงเทพฯ และการดำเนินการต่างๆ เป็นไปด้วยดี รวมทั้งเครื่องบินที่ไปส่งเจ้าหน้าที่ เราเอาคนไทยกลับมาด้วย รวมทั้งการบินไทยได้ไปลงรับคนไทยด้วย ตอนนี้เรารับคนไทยมาทั้งสิ้น 161 คนแล้ว ส่วนที่เหลือยังอยู่ในสถานทูตก็ดูแล มาพักพิงที่ในสถานทูต ส่วนใหญ่ที่ยังไม่กลับ เนื่องจากว่าเป็นทูต คนที่พักอาศัยอยู่ที่นั่น แต่ว่าเรายังพยายามสืบหาอย่างต่อเนื่อง และกำลังจะส่งความช่วยเหลือไป ซึ่งเป็นไปตามความประสงค์ ซึ่งไม่อย่างนั้นจะเป็นการซ้ำซ้อน ซึ่งรัฐบาลให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่
สำหรับการประชุมที่สำคัญ เช่น เอเชีย - แอฟริกา ซึ่งจริงๆ แล้ว เป็นการประชุมครบรอบ 60 ปี ถือว่ามีความสำคัญ ประเทศไทยเราไปร่วมประชุมตั้งแต่เริ่มต้น ซึ่งตรงนี้มีผู้เกี่ยวข้องถึง 115 ประเทศ รวมทั้งการประชุมอาเซียนซัมมิท ที่ผ่านมาเมื่อเร็วๆ นี้ ตรงนี้ต้องชื่นชมท่านนายกฯ ว่าท่านแสดงบทบาทได้โดดเด่น และเป็นที่ยอมรับ หลายอย่างที่ท่านได้ให้ปาฐกถา ให้แนวคิดในการบรรยาย ขอเอาไปใช้ เช่น การให้ประชาชนเป็นศูนย์กลาง การดูแลเกษตรกร การไม่ให้มีความเหลื่อมล้ำ ขจัดความยากจน ซึ่งเป็นแนว เป็นนโยบายที่ประเทศไทย รัฐบาลไทยทำอยู่
สำหรับอีกเรื่องที่เป็นที่น่ายินดี ก็คือ มิตรประเทศและผู้นำ ทั้งในระดับผู้นำ ระดับรัฐมนตรี มาเยือนประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งต่อจากนี้ไปก็จะมีเป็นสเตป เพราะฉะนั้นตรงนี้ก็ถือว่า เป็นทางอ้อม คือเห็นว่าเรามั่นคง ผู้นำทุกคนท่านมา สิ่งหนึ่งที่เรายืนยันในเวทีโลกได้ก็คือการประชุมเรื่องการลดภัยพิบัติ เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทย กับผู้แทนของฟินแลนด์ ที่เจนีวา เราเป็นประธานร่วม เพื่อเตรียมการประชุมนี้มาปีกว่าแล้ว แล้วก็ไปจัดการประชุมที่ประเทศญี่ปุ่น ก็ถือว่าประสบผลสำเร็จ เป็นที่ยอมรับ และได้เชื่อถือ เพราะเลือกเราเป็นประธาน เราก็ได้รับคำชมเชยมา มีท่านนายกฯ มีท่านรัฐมนตรี มหาดไทย มีผมและผู้เกี่ยวข้องไปร่วม
และในการดำเนินการต่างๆ เพื่อให้การดำเนินการของกระทรวงการต่างประเทศ และทีมประเทศไทย เป็นไปหนึ่งเดียว ร้องเพลงเดียวกัน ปัจจุบันนี้กำลังดำเนินการอยู่ เชิญเอกอัครราชทูตทั่วโลก พร้อมกงสุลใหญ่ มาร่วมประชุม พร้อมหน่วยเกี่ยวข้อง จำนวน 150 ท่าน ซึ่งความรับผิดชอบที่เรามีความสัมพันธ์กับต่างประเทศ คือ 179 ประเทศ ตรงนี้เป็นประโยชน์ และท่านนายกฯ กรุณามาเปิดการประชุม มอบนโยบาย มีการแลกเปลี่ยน และในขณะเดียวกันมีท่านรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องทุกท่านมาบรรยาย และนำสิ่งต่างๆ เพื่อเราจะเป็นทีมไทยแลนด์ที่ไปมุ่งสู่ต่างประเทศ รวมทั้งในอนาคต ซึ่งขณะนี้เริ่มทำแล้ว กระทรวงการต่างประเทศ โดยสถานเอกอัครราชทูตเรา ก็คือ One Stop Service ในต่างประเทศ สิ่งเหล่านี้เราก็จะทำไปในทางเดียวกัน ก็ขอกราบเรียน รวมทั้งยืนยันด้วยว่า กระทรวงการต่างประเทศ และผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด โดยเฉพาะคนใน กต. และคนที่อยู่ภายใต้การกำกับของผม ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี ก็พร้อมที่จะปฏิบัติงานทุ่มเทเพื่อประโยชน์ เพื่อสิ่งที่ดี และเพื่อชื่อเสียงของประเทศชาติของเรา
ต่อไป ขออนุญาตเรื่องค้ามนุษย์และประมงผิดกฎหมาย ท่านรัฐมนตรีช่วยฯ ดอน ท่านเพิ่งกลับจากสหรัฐอเมริกา ท่านเดินทางไปพบปะคนหลายคน แลกเปลี่ยนหารือ สร้างความเข้าใจ สร้างความมั่นใจ เพื่อให้ทุกท่านได้กรุณาทราบ ก็ขออนุญาตให้ท่านได้เล่าให้ฟัง เชิญครับ
ดอน ปรมัตถ์วินัย
สวัสดีครับ เมื่อสัปดาห์ที่แล้วผมได้รับมอบหมายจากท่านรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้เดินทางไปปฏิบัติภารกิจในสหรัฐอเมริกา ซึ่งหนึ่งในภารกิจที่สำคัญ คือการชี้แจงปัญหาเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ในบ้านเรา ซึ่งโอกาสนั้นกลุ่มต่างๆ ของสหรัฐอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นทางภาคกระทรวงการต่างประเทศ ภาคสำนักงานสิทธิ หรือทางด้าน ส.ว. ส.ส. สหรัฐฯ รวมไปถึงภาคประชาสังคม สื่อมวลชน ด้านนักวิชาการ และนักธุรกิจ ล้วนแล้วแต่ได้รับการชี้แจงในเรื่องที่เป็นพัฒนาการที่สำคัญในประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคม ปีที่ผ่านมา ว่า รัฐบาลนี้ให้ความสำคัญเป็นที่ยิ่งเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหานี้ มีการปรับโครงสร้างโดยท่านนายกรัฐมนตรีให้ความสนใจอย่างยิ่งยวดกับการแก้ปัญหานี้ โดยถือว่าเป็นปัญหาการค้าทาส ที่ควรจะได้รับการกำจัดออกไปจากสังคมไทย จึงได้ทำหน้าที่เป็นประธานของคณะอำนวยการนโยบายแห่งชาติ โดยตัวท่านเอง และมีรองนายกรัฐมนตรีอีก 5 ท่าน ทำหน้าที่สนับสนุนในคณะกรรมการดังกล่าว กับทั้งมีอีก 5 คณะกรรมการ 5 อนุกรรมการ ที่ท่านรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องทำหน้าที่เป็นประธาน
งานดังกล่าวนั้นได้รับความเอาใจใส่เป็นที่ยิ่ง จนกระทั่งถึงขั้นออกกฎหมายใหม่ และแก้ไขกฎหมายบางฉบับ เพื่อให้มีการดูแลเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับการค้ามนุษย์อย่างจริงจังกว่าทุกยุคทุกสมัยที่ผ่านมา เช่น การออกกฎหมายประมง การแก้กฎหมายแรงงาน ที่เกี่ยวกับการค้ามนุษย์ ประมงและเกษตร การแก้ พ.ร.บ.ที่เกี่ยวกับการค้ามนุษย์ ซึ่งทำให้เกิดมาตรการใหม่ๆ ที่มีความหมายที่สะท้อนไปถึงความจริงจังของการปฏิบัติงานของภาคราชการของรัฐบาลนี้ เป็นต้นว่าการกำหนดโทษที่ชัดเจนรุนแรงมากขึ้น การควบคุมดูแลการเข้า - ออกของเรือประมง การดูแลสวัสดิการของชาวประมง สิ่งที่สำคัญที่สุดเรื่องการเอาใจใส่การดำเนินคดี การจับกุม และการป้องกัน ปกป้อง คุ้มครองเหยื่อ ล้วนแล้วแต่เป็นประเด็นสำคัญ ซึ่งเรื่องอย่างนี้ เมื่อได้รับการชี้แจงให้กับทางฝ่ายสหรัฐฯในทุกกลุ่ม ที่สนใจในเรื่องดังกล่าว ปรากฏว่าได้รับการตอบรับพอสมควรในที่นี้หมายความว่าเขาไม่ติดใจกับเรื่องความพยายามความตั้งใจจริงของรัฐบาลที่จะแก้ไขปัญหานี้ แต่สิ่งที่ยังอยู่ในข้อกังวลหลายๆ ฝ่าย ทั้งทางฝ่ายประชาสังคม คือ การดำเนินคดีกับคดีใหญ่ที่มีความสำคัญ เท่าที่ผ่านมายังมองเห็นว่าประเมินโดยทางฝ่ายสหรัฐฯ ว่าคดียังน้อยไปในแง่ของจำนวน
ขณะเดียวกัน ปลาใหญ่ๆ คือผู้บงการที่มีส่วนเกี่ยวข้องเป็นรายสำคัญ ไม่ได้รับการจับกุมและดำเนินคดีได้เพียงพอ และเป็นส่วนที่ฝากไว้ขอให้ประเทศไทยดำเนินการเรื่องนี้ให้ยิ่งยวดขึ้น ให้มีผลที่สามารถจะบอกต่อให้ทุกฝ่ายได้รับทราบถึงความตั้งใจจริง และการปฏิบัติที่บังเกิดผลได้อย่างจริงจัง เราได้เสริมให้ทางฝ่ายภาครัฐเข้าใจด้วย ว่าเป็นความตั้งใจอย่างยิ่งคนไทยที่ต้องการกำลังใจจากฝ่ายสหรัฐฯ ในการแก้ปัญหานี้ด้วยเช่นกัน และขอให้พิจารณาเรื่องความตั้งใจจริงเหล่านี้ในกรอบของการเป็นมิตรที่ดีที่มีมายาวนาน ประเทศไทยไม่ควรได้อยู่ในเทียร์ 3 ก็เป็นอีกด้านหนึ่งที่ได้ส่งเป็นสัญญาณให้กับสหรัฐฯ ให้คำนึงถึงมิตรภาพกับประเทศไทยที่มีมายาวนาน สำหรับประชาชนชาวไทยหากร่วมมือกันได้ก็มีฮอตไลน์ 1300ที่สามารถติดต่อโทรได้ตลอดเวลา ที่จะแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ของประเทศไทย ขอขอบคุณครับ
พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร
สำหรับด้านการท่องเที่ยวและกีฬา ก็ถือว่าเรามีนโยบาย มีบทบาท มีแคมเปญใหม่ๆ ที่ทำให้ทุกคนเข้าใจและถือว่าเราก็เป็นจุดท่องเที่ยว ที่ทุกคนอยากมา และการท่องเที่ยวไม่ได้ลดลงเงินเพิ่มขึ้น รายละเอียดต่างๆ ก็ขออนุญาตให้ท่าน รัฐมนตรีกอบกาญจน์ชี้แจงนะครับ
กอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร
ด้านการท่องเที่ยว เป็นการท่องเที่ยววิถีไทย จากการเปิดตัวปีท่องเที่ยววิถีไทยไปตั้งแต่เมื่อต้นปี 2558 นี้เพื่อชักจูงให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยเพิ่มขึ้น และมีระยะเวลาการพำนักในประเทศที่นานขึ้น จนถึงทุกวันนี้จะเห็นความสำเร็จได้จากการที่นักท่องเที่ยวที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในเดือนพฤษภาคมก็จะเป็นเทศกาลไทยแลนด์มิวสิคเฟสติวัล ณ หาดชะอำ จังหวัดเพชรบุรี ตั้งแต่วันที่ 22 - 23 พฤษภาคม 2558 โดยจะมีศิลปินเอกทางดนตรีที่มีชื่อเสียง ทั้งไทยและต่างประเทศหลากหลายแนวมาสร้างสีสันให้ชายหาดของไทย มีทั้งความสนุกสนานและความสวยงามยิ่งขึ้น และโครงการประชาสัมพันธ์เตือนภัยนักท่องเที่ยวจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เนปาลเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้ภาคการท่องเที่ยวเราตระหนักถึงความสำคัญเรื่องการเตืนภัยและความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวมากยิ่งขึ้น กระทรวงได้จัดทำโครงการประชาสัมพันธ์ข้อมูลและประชาสัมพันธ์เรื่องการท่องเที่ยวให้กับนักท่องเที่ยวไทยและต่างประเทศมาตั้งแต่ปี 2555 - 2558 เราจะได้ตระเวนจัดกิจกรรมรณรงค์ สร้างความรู้ความเข้าใจแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ ตามแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมต่าง ๆ เพื่อแจ้งช่องทางการช่วยเหลือ ขณะที่พักผ่อนอยู่ในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นไปที่ 7 จังหวัด ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวหลักที่ได้รับความยอดนิยม ให้สามารถเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยวได้อย่างทั่วถึงตามกำหนดการ ตามตารางที่ขึ้นอยู่ในจอ
สำหรับศูนย์แก้ไขปัญหาการหลอกลวงนักท่องเที่ยวในปัจจุบันเรามีถึง 12 แห่งทั่วประเทศ คือ กรุงเทพมหานคร ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง ชลบุรี เชียงใหม่ สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต สงขลา อุบลราชธานี เชียงราย กาญจนบุรี สุโขทัย และกระบี่ โดยจะมีเบอร์คอลเซ็นเตอร์ 02- 134-4077 และในปีนี้มีแผนที่จะเพิ่มจำนวนศูนย์ในแหล่งที่จะมีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก เช่น ที่ประจวบคีรีขันธ์ อยุธยา ตราดที่เกาะช้าง และแม่ฮ่องสอน การดำเนินโครงการนี้ เป็นการสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยให้การท่องเที่ยวในประเทศไทย นักท่องเที่ยวทั้งด้านการป้องกันการเกิดเหตุ แก้ไข และการให้การช่วยเหลือ หากนักท่องเที่ยวประสบเหตุจากการท่องเที่ยว ซึ่งที่ผ่านมาประเทศไทยมีความได้เปรียบในแหล่งสถานที่ท่องเที่ยว แต่ยังมีจุดอ่อน ในเรื่องของความปลอดภัย หากทุกภาคส่วนให้ความร่วมมือในการดูแลความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว ย่อมมั่นใจได้ว่า จะสามารถผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวแห่งเอเชีย และนำไปสู่เป้าหมาย รายได้การท่องเที่ยว 2.2 ล้านล้านบาท ในปีนี้ได้อย่างแน่นอน
ส่วนทางด้านการกีฬา การส่งนักกีฬาเข้าร่วมแข่งขันกีฬาซีเกมส์ แต่ความคาดหวังของนักกีฬาไทย ในการเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 28 ที่ประเทศสิงคโปร์ ระหว่างวันที่ 5 - 16 มิถุนายนนี้ ขณะนี้นักกีฬามีความพร้อมเกือบ 100% ทุกสมาคมกีฬาที่มีการแข่งขัน ได้เก็บตัวฝึกซ้อมนักกีฬาตามแผนงานที่ส่งมายังคณะกรรมการเตรียมนักกีฬา ซึ่งได้มีการติดตามการฝึกซ้อมอย่างใกล้ชิด สภาพความคิดของนักกีฬาอยู่ในเกณฑ์ที่ดี เชื่อว่าเมื่อถึงช่วงการแข่งขันจริงทุกคนจะสมบูรณ์เต็มร้อย
นอกจากนี้ การได้รับเงินอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีวงเงิน 308 ล้านบาทว่า จะส่งผลดีต่อสภาพจิตใจของทัพนักกีฬาโดยภาพรวม ซึ่งเวลานี้กำลังเร่งให้ทุกสมาคมกีฬามาเบิกจ่ายงบประมาณตามแผนที่ว่าไว้ เป้าหมายที่ทุกสมาคมกำหนดร่วมกันไว้ในกีฬาซีเกมส์ครั้ง 28 นี้ ได้แก่ 120 เหรียญทอง โดยเฉพาะการรักษาแชมป์ประเภทกีฬาสากลที่ไทยเคยครองแชมป์มาก่อน และสามารถสร้างความสุขให้กับคนทั้งชาติ คือ ฟุตบอล วอลเลย์บอล และแบดมินตัน เชื่อมั่นว่านักกีฬาไทยจะต้องได้เหรียญทองได้อีกสมัยแน่นอน และจะคว้าได้อย่างต่ำ 100 - 110 เหรียญทอง ส่วนคู่แข่งเจ้าเหรียญทองในครั้งนี้ได้แก่ เวียดนาม และ อินโดนีเซีย
สำหรับผลงานของนักกีฬาไทยในกีฬาซีเกมส์ 2 ครั้งที่ผ่านมา กีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 26 ที่ประเทศอินโดนีเซีย อันดับ 1 ได้แก่ อินโดนีเซีย 182 เหรียญทอง 151 เหรียญเงิน 143 เหรียญทองแดง อันดับ 2 ได้แก่ ประเทศไทย 109 เหรียญทอง 100 เหรียญเงิน และ 120 เหรียญทองแดง
กีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 27 ที่ประเทศพม่า เราได้เป็นอันดับหนึ่ง 107 เหรียญทอง 94 เหรียญเงิน และ 81 เหรียญทองแดง
อีกกิจกรรมหนึ่งที่สำคัญคือ การจัดทำเส้นทางจักรยาน กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาสนับสนุนการนำยางพารา มาเป็นวัสดุจัดทำเส้นทางจักรยาน โดยกำหนดเป็น 3 รูปแบบพื้นที่ คือ ในพื้นที่เขตเมือง หรือชุมชน ส่งเสริมการใช้จักรยานเป็นวิถีชีวิตของเด็ก เยาวชน และประชาชนจำนวน 30 แห่ง
ในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยว ส่งเสริมการใช้จักรยาน เพื่อการออกกำลังกาย และการพักผ่อนหย่อนใจจำนวน 35 แห่ง และใช้พื้นที่แหล่งถนน ส่งเสริมการใช้จักรยาน เพื่อการฝึกซ้อมแข่งขันทำกิจกรรม เดินทางไกลเป็นหมู่คณะจำนวน 15 แห่ง รวมทั้งสิ้น 80 แห่ง
กีฬาเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความสามัคคีคนในชาติ และเพื่อให้เกิดความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน รวมถึงการประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจจากสื่อมวลชน หวังเป็นอย่างยิ่งว่า พวกเราทุกคนจะได้ร่วมกันลงมือทำในสิ่งที่ดี เพื่ออนาคตของประเทศ ร่วมกันพัฒนาเพื่อให้ประเทศไทยก้าวไปข้างหน้าอย่างสง่างามต่อไป
พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร
ทางด้านวัฒนธรรมไม่ใช่ทำเฉพาะวัฒนธรรมในประเทศ เราทำวัฒนธรรมในอาเซียน ในต่างประเทศ ฉะนั้นความสัมพันธ์ของผม 3 กระทรวง ต่างประเทศ ท่องเที่ยว และวัฒนธรรม เราทำด้วยกัน และมีความโดดเด่นทั้งในประเทศ และต่างประเทศ หรือว่าหลายๆ เรื่อง เช่น เราได้วัตถุโบราณกลับมาจากสหรัฐฯ 500 กว่าชิ้น การเอาชุดวัฒนธรรมไปแสดงที่ประเทศจีน หรือประเทศอื่นๆ ที่จะแลกกัน หรือว่าในต่อไปเราจะไปที่ยุโรป ไปตามประเทศต่างๆ ซึ่งตรงนี้เป็นไปที่ยอมรับ และชื่นชม มีคนสนใจมาดูขออนุญาตให้ท่านรัฐมนตรีวีระเป็นผู้เรียนชี้แจงด้วยครับ
ในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา กระทรวงวัฒนธรรมมีภารกิจ และมีกิจกรรมและโครงการ ขอรายงานว่า ในต้นเมษายนที่ผ่านมา กระทรวงวัฒนธรรมได้จัดกิจกรรมที่กรุงปักกิ่ง เป็นโขน การแสดงนาฏศิลป์ดนตรี เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนฯ ในโอกาสที่เจริญพระชนมายุครบ 5 ปี และในเมืองไทยเราก็มีกิจกรรม 2 กิจกรรม ที่สมเด็จพระเทพรัตนฯ ได้เสด็จทรงเปิด คือ การจัดแสดงนิทรรศการผลงานของ ศ.ปรีชา เถาทอง เรื่องแสงสุวรรณภูมิสู่วัฒนธรรมอาเซียน ที่ศูนย์ศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยถนนราชดำเนิน และนิทรรศการนี้จะอยู่จนถึงเดือน 31 พฤษภาคมนี้
อีกที่หนึ่งเป็นนิทรรศการพิเศษ เนื่องในวันอนุรักษ์มรดกไทยคือ นิทรรศการเรื่อง เทวสตรี : คติพุทธ พราหมณ์ และความเชื่อในประเทศไทย ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จะเปิดให้ประชาชนเข้าชมจนถึงวันที่ 26 กรกฎาคมนี้
นอกจากนั้น ในเดือนเมษายนจะมีกิจกรรมในเรื่องของวันสงกรานต์ กระทรวงวัฒนธรรมได้จัดกิจกรรมวันสงกรานต์ เป็นแบบสงกรานต์ดั่งเดิม เป็นสงกรานต์วิถีไทย สงกรานต์สืบสานประเพณีไทย สุขใจไทยทั่วหล้า กิจกรรมทำทั่วประเทศ 76 จังหวัด ในวัดสำคัญของแต่ละจังหวัด ในส่วนกลางเราจัดทั้งหมด 7 วัด และมีการจัดร่วมกับภาคเอกชนที่สยามพารากอนด้วยนะครับ และที่นี่เราได้อัญเชิญพระพุทธรูปสำคัญ ซึ่งถือว่าเป็นพระพุทธรูปมงคลโบราณให้ประชาชนได้สักการบูชาด้วย ใกล้กันนี่มีที่วัดปทุมวนาราม และเป็นครั้งแรกที่กระทรวงวัฒนธรรมได้เชิญทูตานุทูตเข้าร่วมงานสงกรานต์ เพื่อให้เรียนรู้ประเพณีไทย และใกล้กันที่สยามแควร์ กระทรวงวัฒนธรรมได้จัดกิจกรรมเช่นเดียวกัน เป็นการจัดสงกรานต์เมษา ผ้าขาวม้าครองโลก ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
ในต่างจังหวัด นอกจากจัดทุกจังหวัดแล้ว เราได้จัดร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านด้วย เป็นเมืองหน้าด่าน 4 เมือง คือ เมืองแม่สอดกับพม่า เชียงของจัดร่วมกับลาว อรัญประเทศจัดร่วมกับกัมพูชา และภาคใต้ที่สะเดา จัดร่วมกับมาเลเซีย
233 ปี กรุงรัตนโกสินทร์ ระหว่างวันที่ 17 - 21 เมษายน ก็อยากจะกราบเรียนว่า เมื่อ 233 ปี ในวันที่ 21 เมษายน พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้ทรงฝังเสาหลักเมือง และสถาปนากรุงเทพฯ เป็นราชธานีของสยามประเทศ และ 233 ปีนี้ก็มีเหตุการณ์สำคัญของบ้านเมือง พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ได้ทรงทำนุบำรุงพัฒนาบ้านเมือง มีการพัฒนาศิลปวัฒนธรรมอย่างกว้างขวาง เราก็ได้ดำเนินการในเรื่องของการจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้ประชาชนได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ มีกิจกรรมที่ทำไป ก็คือ การจัดขบวนเหตุการณ์สำคัญ พระราชกรณียกิจสำคัญของพระมหากษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์แต่ละรัชกาล รวมทั้งหมด 9 ขบวนด้วยกัน
ณ เวทีกลางท้องสนามหลวง มีการจัดการแสดงต่างๆ ทุกคืน 5 คืน เช่น การแสดงโขน การแสดงดนตรีลีลาศสุนทราภรณ์ ดนตรีลูกทุ่ง ลิเก และการแสดงของศิลปินแห่งชาติ และศิลปินสาขาต่างๆ มีการแสดงรำวงย้อนยุค ภาพยนตร์ย้อนยุค มีนิทรรศการภาพถ่ายเก่าเล่าเรื่อง ซึ่งเป็นนิทรรศการที่ได้รับความสนใจมาก และมีการละเล่นและกีฬาแบบไทย ที่สำคัญคือ เราไม่ละเว้นงานวิชาการ มีการสัมมนาเรื่อง "อมตะนคร อมรรัตนโกสินทร์" และมีการแสดงสินค้า ผู้เข้าชมงานทั้งหมดประมาณ 450,000 คน และมีการจัดลำดับความสำเร็จของแต่ละกิจกรรมด้วย
สุดท้ายสำหรับวันนี้ก็จะเป็นเรื่องของการพัฒนาศูนย์การเรียนรู้ของกระทรวง พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ และอุทยานประวัติศาสตร์แห่งชาติ ขณะนี้เราได้นำระบบเทคโนโลยีมาสนับสนุนการนำชม ปรากฏว่าในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา มีผู้เข้าชมถึง 4.2 ล้านคน คาดว่าทั้งปีจะมีผู้เข้าชมประมาณ 8 ล้านคน ซึ่งจะเพิ่มจากปีที่ผ่านมาประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์
สุดท้ายอีกครั้งหนึ่ง คือในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมนี้ ขอเรียนพี่น้องประชาชนว่า ทุกภูมิภาคของไทยจะมีจัดมหกรรมพื้นบ้านในแต่ละภูมิภาค มหกรรมพื้นบ้านก็จะประกอบด้วย ลิเก ลำตัด หมอลำ โนราห์ หนังตะลุง เพลงซอ และ งิ้ว นี่ก็จะเป็นกิจกรรมที่เราส่งเสริมให้ศิลปินพื้นบ้านได้มีเวทีการแสดง และส่งเสริมให้ประชาชนได้เรียนรู้งานศิลปวัฒนธรรมของตัวเอง
พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร
กราบขอบคุณพี่น้องประชาชน ที่กรุณาสละเวลามาฟังพวกเราเล่าสิ่งที่เราได้ทำ จริงๆ มีสิ่งที่เราทำมากมาย เยอะกว่านี้ เพื่อเป็นความสะดวก หรืออยากทราบรายละเอียด ขอความกรุณาถามตรงมาที่ผม ที่ท่านรัฐมนตรีทุกท่านได้ เราก็จะให้รายละเอียดได้อย่างเต็มที่ และถ้าท่านมีความเห็นที่จะสนับสนุน หรือช่วยเหลือให้ความคิด ก็ยินดีที่จะรับฟัง สุดท้ายก็ขอยืนยันว่าพวกเราทุกคน รวมทั้งข้าราชการทุกคน ในกระทรวงทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้อง จะมุ่งมั่นตั้งใจเสียสละในการทำงานเพื่อประชาชนและประเทศชาติอย่างจริงจัง และด้วยความจริงใจ ขอบคุณครับ
ขอบคุณ manager online
Labels:
คสช.,
ประยุทธ์ จันทร์โอชา,
ผลงาน คสช.