กรณี ศึกษาจีน รถไฟ ความเร็วสูง น้ำ จากแม่โขง
ไม่ว่าปัญหาว่าด้วยรถไฟ "ความเร็วสูง"
ไม่ว่าปัญหาว่าด้วยภาวะแล้งและผลสะเทือนส่วนหนึ่งจาก "เขื่อน" ในแม่น้ำโขงตอนบน
ทุกสายตามองไปยัง "จีน"
เพราะว่าแนวคิดในเรื่องรถไฟ "ความเร็วสูง" มีจุดเริ่มจากการเชื่อมต่อเส้นทางรถไฟจากลาว เส้นทางรถไฟจากคุนหมิง
โดยมี "ต้นทาง" อยู่ที่ "จีน"
เพราะว่าปัญหาว่าด้วยภาวะภัยแล้ง ส่วนหนึ่งมีผลสะเทือนจากเขื่อนในแม่น้ำโขงตอนบน และบังเอิญที่มีการเปิดเขื่อนในห้วงแห่งการประชุม 5 ชาติแม่น้ำโขงที่เกาะไหหลำ
โดยมี "ต้นทาง" อยู่ที่ "จีน"
ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง ด้านหลักของปัญหา "ภัยแล้ง" เป็นเรื่องอันเกิดขึ้นภายในไม่ว่าจะเป็นที่ลาว ที่ไทย ที่กัมพูชา หรือที่เวียดนาม
โดยมี "จีน" เป็นเพียง "องค์ประกอบ" 1
ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง ด้านหลักของโครงการรถไฟ "ความเร็วสูง" เป็นความริเริ่มโดยตรงของไทยหรือแม้กระทั่งของลาว โดยมีจีนเป็นเพียงองค์ประกอบ 1 ในองค์ประกอบใหญ่
ความอ่อนไหวทั้งหมดจึงมาจาก "ปัจจัยภายใน"
เป็นความจริงที่แรงผลักดันอย่างสำคัญในเรื่องรถไฟ "ความเร็วสูง" มาจากยุทธศาสตร์ใหญ่ของจีนในการเปิด "เส้นทางสายไหม" ยุคใหม่
เป็นพัฒนาการและความต่อเนื่องจาก "ยุคเจิ้งเหอ" ในราชวงศ์ "หมิง"
กระนั้น ภาวะแปรปรวน พลิกผัน ต้องยอมรับว่าเกิดจากปัญหาและความขัดแย้ง "ภายใน" ของสังคมประเทศไทยเราเองอย่างเป็นด้านหลัก
จากยุค นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ถึงยุค นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ
ในยุคของ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ จำกัดกรอบแห่งงบประมาณอยู่ที่ 2.2 ล้านล้านบาท แต่ไม่ว่าเอ่ยปากอะไรออกมาล้วนถูกคัดค้าน ต่อต้าน
ไม่เพียงแต่เสียงคัดค้านอันมาจาก "พรรคประชาธิปัตย์"
หากกระบวนการของการต่อต้านบานปลายและขยายไปยัง "องค์กรอิสระ" กระทั่ง "ศาลรัฐธรรมนูญ" ก็เข้ามามีบทบาทอย่างสำคัญ
จำ "ยอดคำเท่" ว่าด้วย "ถนนลูกรัง" ได้หรือไม่
ความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่งอยู่ตรงที่เมื่อถึงยุค นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ กระบวนการคัดค้านต่อต้านเดิม หายไปจนหมดสิ้น หลายคนได้รับการปูนบำเหน็จรางวัลทางการเมือง บางคนนั่งอยู่ในคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ
รถไฟ "ความเร็วสูง" จึงเป็นกระจกอย่างดีในทาง "การเมือง"
รัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 ไม่เพียงแต่ทำให้เรื่องเลวๆ ในยุคของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กลับเป็นเรื่องดีๆ หากแต่ยังทำให้โฉมหน้าคนดีปรากฏอย่างโจ่งแจ้ง
คนดีๆ เหล่านี้แหละที่ทำให้ภาพของ "จีน" บิดเบี้ยว แปรเปลี่ยน
ไม่ว่าเรื่องเขื่อนในแม่น้ำโขง ไม่ว่าเรื่องรถไฟความเร็วสูง จีนดำรงจุดมุ่งหมายและสะท้อนความเป็นตัวตนของตนไม่แปรเปลี่ยน
นั่นก็คือ ยืนอยู่บน "ผลประโยชน์" จีนด้วยความ "มั่นแน่ว"
มีแต่ไทยเราต่างหากที่เกิดการแปรเปลี่ยน พลิกกลับไป พลิกกลับมา เพราะความอ่อนไหวในความรู้สึกต่อจีน
เมื่อหงุดหงิดจาก "อเมริกา" ก็ผวาเข้าหา "จีน"
อ่อนไหวถึงขนาด "เพ้อฝัน" ว่าจีนจะเข้ามาลงทุนด้วยเงินของตนเองในโครงการรถไฟความเร็วสูงเพื่อมอบให้กับไทย
เป็นการให้ฟรีๆ ด้วยน้ำใจอันใหญ่หลวงของ "พี่ใหญ่"
อ่อนไหวถึงขนาด "เพ้อฝัน" และมองข้ามสภาพความเป็นจริงที่จีนมีการสร้างเขื่อนตอนต้นของแม่น้ำโขงมากกว่า 5 เขื่อน
จีนนั้นไม่มีอะไร "เปลี่ยน" ไทยต่างหากเล่าที่ "เปลี่ยน"
จีนนั้นเป็นตัวของตัวเองอย่างยิ่ง ไทยต่างหากเล่าที่ไม่เป็นตัวของตัวเอง
ผู้นำจีนจากยุคของ "เหมาเจ๋อตุง" กระทั่งยุคของ "เติ้งเสี่ยวผิง" มีความเชื่ออย่างหนึ่งในทาง "ความคิด"
นั่นก็คือ ทุกอย่างต้องเริ่มต้นจาก "ความเป็นจริง" และความเป็นจริงนั้นดำเนินการค้นหาจากหลักคิดที่ว่า "หาสัจจะจากความเป็นจริง" ถอดนามธรรมออกมาเป็นรูปธรรมให้จงได้
ความจริงนี้ของจีนไม่ว่าเมื่อ 50 ปีก่อนหรือปัจจุบันไม่เคยเปลี่ยน
-